วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เตรียมตัวเป็นคุณแม่มือใหม่

หลังจากแต่งงานมาพอสมควรแล้ว หลาย ๆ คู่คงอยากมีเจ้าตัวน้อย ๆ มาวิ่งวุ่นวายในบ้าน ให้ครอบครัวสมบูรณ์ขึ้น วันนี้แม่กุ๊กขอเสนอวิธีการเตรียมพร้อมเพื่อจะเป็นคุณแม่มือใหม่จ้า



4 เรื่องของการเตรียมตัวก่อนมีลูก

1. พื้นฐานของเม็ดเลือด ดู ว่าพ่อและแม่มีเลือดกรุ๊ปใด เข้ากันได้หรือไม่ เพราะบางกรณีพ่อแม่จะมีกรุ๊ปเลือดที่ไม่เข้ากันซึ่งจะมีผลต่อความเสี่ยงต่อ การเกิดโรค เช่น เด็กแรกเกิดที่มีภาวะตัวเหลืองจากโลหิตจางซึ่งเกิดจากกรุ๊ปเลือดของพ่อแม่ ไม่เข้ากับลูก
นอกจากนี้ยังมีเลือดกลุ่มพิเศษ RH ซึ่งพบได้น้อยในบ้านเราค่ะ แต่ว่ากรุ๊ปพิเศษนี้จะมีอันตรายอยู่ตรงที่ว่า ถ้าคุณแม่เป็น RH- คุณพ่อจะต้องไม่เป็น RH+ เพราะลูกที่เกิดมาอาจจะมีภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติจนอาจเสียชีวิตได้ ค่ะ

2. ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ดูว่าเป็นคุณพ่อคุณแม่มีเม็ดเลือดจางเป็นพาหะหรือเป็นทาลัสซีเมียหรือไม่

3. ป่วยเป็นโรคติดเชื้อหรือไม่ ได้แก่ โรคเอดส์ โรคซิฟิลิส ไวรัสตับอักเสบบี ถ้าคุณแม่ยังไม่มีภูมิคุณหมอจะเริ่มฉีดให้ค่ะ โดยฉีด 3 เข็ม เข็มแรกจะฉีดทันที เข็มที่ 2 เว้นไป 1 เดือนและเข็มสุดท้ายเว้นไป 6 เดือนค่ะ ระหว่างนี้คุณแม่สามารถตั้งท้องได้ค่ะ
หัดเยอรมัน ถ้าคุณแม่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันก็ต้องฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 และเว้นระยะไป 3 เดือนจึงจะสามารถตั้งครรภ์ได้ค่ะ

4. สุขภาพทั่วไป เช่น น้ำหนัก ส่วนสูง เช็กการได้ยินของหู เช็กสายตา จมูก ช่องปาก อวัยวะภายในช่องท้อง รวมถึงการตรวจภายในของทั้งผู้หญิงและผู้ชายด้วยค่ะ (แม้จะเคยตรวจมาตอนก่อนแต่งงานคุณหมอมักจะเว้นการตรวจภายในสำหรับผู้หญิงค่ะ ดังนั้นตรวจใหม่อีกรอบก็ดีค่ะ)
เมื่อร่างกายพร้อม และคุณพ่อคุณแม่ก็พร้อมใจจะมีเจ้าตัวน้อยคงไม่ต้องบอกนะคะว่าขั้นตอนต่อไป ต้องทำยังไง...

(ข้อมูลจาก www.sanook.com)


     จากประสบการณ์ตรง ตอนที่แม่กุ๊กท้องมัทเทียลูกชายคนโต ไปฝากท้องกับคุณหมอ คุณหมอได้แนะนำมาว่า เพื่อประโยชน์ที่ดีของคุณแม่และคุณลูก ถ้าก่อนตั้งครรภ์มีการวางแผนไว้แล้วว่าช๊านจะมีบุตรล่ะก็ ควรกิน โฟเลต ไว้ก่อนเลยซัก 4- 5 เดือนล่วงหน้าเพื่อมั่นใจว่าเจ้าตัวอ่อนน้อย ๆ ที่เกิดการปฏิสนธิมานั้นขจะมีเปร์เซ็นต์ความแข็งแรง และสมบูรณ์ เพิ่มขึ้น แต่กรณีแม่กุ๊กที่ได้ของขวัญชิ้นโตมาอย่างฟลุ๊ก ๆ ก็ลยกินตอนตั้งครรภ์แล้ว ซึ่งจำเป็นต้องกินจนถึง4-5 เดือนของการตั้งครรภ์นะค๊า  

     คุณผู้หญิงที่กำลังเตรียมตัวตั้งครรภ์ อาจเริ่มปฏิบัติตัว ต่างจากเดิมบ้าง เช่น พยายามทำจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียด พักผ่อนร่างกายให้มากขึ้น แต่สิ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน คือการรับประทานอาหารที่ให้สารอาหารครบถ้วน โดยเฉพาะ ในช่วงเดือนแรกของการตั้งครรภ์ที่เซลล์ตัวอ่อนมี การแตกตัวขยายอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นช่วงที่คุณแม่ ยังไม่ทราบเลยด้วยซ้ำว่าเริ่มตั้งครรภ์แล้ว

     สารอาหารที่มีความสำคัญมากในช่วงเริ่มต้นของการตั้งครรภ์คือ โฟเลต ซึ่งเป็นวิตามินบีชนิดหนึ่ง พบมากในอาหารจำพวกเมล็ดถั่ว ธัญพืช ผัก ผลไม้ น้ำผลไม้ โดยเฉพาะน้ำส้ม และอาหารอื่นๆ ที่เสริมด้วยโฟเลต ล้วนเป็นแหล่งอาหารที่ดีทั้งสิ้น อยากแนะนำให้ผู้หญิงที่กำลังวางแผน ตั้งครรภ์รับประทานอาหารที่มีโฟเลตสูงทุกวัน ถ้าคุณแม่ได้รับโฟเลต ไม่เพียงพอ จะส่งผลให้ทารกมีความผิดปกติของกระดูกสันหลังที่เรียกว่า spina bifida และโฟเลตนี้มีความสำคัญไปตลอดการตั้งครรภ์ เพราะจะเป็นตัวช่วยสร้างเม็ดเลือดที่คุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคนต้องการเพิ่มขึ้น



ข้อมูลจาก http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:gxO4Bt-ZO20J:forum.khonkaenlink.info/index.php%3Ftopic%3D30222.0+%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88&cd=6&hl=it&ct=clnk&gl=it&source=www.google.it
       
            อีกเรื่องหนึ่งคือตรวจสอบเรื่องวัคซีนคนท้องควรดูแลว่าตัวเองฉีดวัคซีนไว้ครบรึยัง มีทั้งหมด 3 วัคซีนนะจ๊ะที่ต้องใส่ใจ

    Before Pregnant

          วัคซีนที่ฉีดก่อนคิดจะตั้งครรภ์มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด ได้แก่

          วัคซีนหัดเยอรมัน

          หัดเยอรมันเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัสค่ะ อาการจะคล้ายกับเป็นไข้หวัด คือมีไข้ และอาจมีผื่นทั่วตัว หากคุณแม่เกิดเป็นโรคนี้เมื่อตั้งครรภ์โดยเฉพาะในระยะ 3-4 เดือนแรก เชื้อไวรัสจะไปทำให้ทารกในครรภ์เกิดความพิการในอวัยวะต่างๆ อาทิ หู ตา หัวใจ แขน ขา และสมอง

          ดังนั้น คุณแม่ที่คิดจะตั้งครรภ์จึงควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมันก่อน โดยฉีดแล้วควรเว้นระยะการตั้งครรภ์ออกไป 3 เดือน เพื่อให้วัคซีนสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกายค่ะ แต่หากจู่ๆ คุณแม่เกิดตั้งครรภ์ในช่วงนี้ขึ้นมาก็อย่ากังวลใจไป เพราะยังไม่มีข้อบ่งชี้ใดที่ฟันธงว่าหากคุณแม่ฉีดวัคซีนหัดเยอรมันแล้วเกิดตั้งครรภ์ภายใน 3 เดือน จะส่งผลให้เด็กเกิดมาผิดปกติ จนคุณหมอต้องยุติการตั้งครรภ์ค่ะ เพราะว่ามีคุณแม่บางท่านที่ฉีดวัคซีนหัดเยอรมันแล้วเกิดตั้งครรภ์ใน 3 เดือน ก็สามารถให้กำเนิดลูกที่แข็งแรงได้ไม่ต่างกัน

          ท้องแล้วไม่ได้ฉีด!!
ในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์นั้นควรหลีกเลี่ยงคนที่มีอาการหวัด เป็นไข้ ไอจาม เพราะนั่นอาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรคหัดเยอรมัน

          แต่หากช่วงตั้งครรภ์ไตรมาสสุดท้ายเกิดติดโรคหัดเยอรมันขึ้นมา ก็อย่ากังวลไปค่ะเพราะโรคนี้จะไม่สามารถทำให้เกิดความผิดปกติได้เพราะร่างกายของลูกเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว“ถ้าหากว่าคุณแม่ไม่แน่ใจว่าตนเองมีภูมิต้านทานโรคหรือเปล่า หรือไม่รู้ว่าเกิดติดเชื้อนี้แล้วหรือยัง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาภูมิ”

          Hepatitis B หรือวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบชนิดบี

          โรคไวรัสตับอักเสบบีพบบ่อยในประเทศไทย โดยลักษณะอาการของโรคก็จะแสดงออกแตกต่างกันไป โดยหากเป็นน้อยอาการของโรคก็จะมีแค่เป็นไข้ อ่อนเพลีย แต่ถ้าเป็นมากก็จะมีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง อ่อนเพลียมาก ตับถูกทำลายรุนแรงและอาจถึงขั้นเสียชีวิตเลย

          ส่วนคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีเชื้อนี้อยู่ในร่างกายแล้ว หรือเกิดไปติดเชื้อไวรัสตับอักเสบปีขึ้นมาโรคนี้ก็อาจติดต่อไปยังลูกขณะคลอดทำให้เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีได้

          ดังนั้น หากคุณแม่ไม่แน่ใจว่าตนเองมีภูมิต้านทานโรคอยู่หรือเปล่า หรือไม่รู้ว่าเกิดติดเชื้อนี้แล้วหรือยัง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาภูมิ ซึ่งหากยังไม่มีภูมิ แพทย์ก็จะฉีดวัคซีนให้ โดยแนะนำให้ฉีดก่อนตั้งครรภ์เป็นเวลา 6 เดือน
ส่วนในกรณีที่พบว่าติดเชื้อแล้ว หลังจากคลอดลูกน้อยภายใน 24 ชั่วโมง แพทย์จะฉีดสารภูมิต้านทานไวรัสตับอักเสบบีให้กับทารก เพื่อเป็นการเร่งภูมิให้ต่อต้านโรคค่ะ

          ท้องแล้วไม่ได้ฉีด!!

          ปัจจุบัน ประชาชนทุกๆ คนที่เกิดในประเทศไทยจะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบีทันทีหลังคลอดอยู่แล้ว เพื่อป้องกันโรคตับอักเสบบีตั้งแต่แรกเกิด ดังนั้น คุณแม่จะฉีดหรือไม่ฉีดจึงมีความสำคัญน้อยลง แต่ถ้าขณะตั้งครรภ์พบว่าคุณแม่มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคได้แพทย์ก็สามารถฉีดให้ได้ เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ ไม่มีอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์

          Pregnant

          เมื่อตั้งครรภ์วัคซีนพื้นฐานที่คุณหมอจะแนะนำให้คุณแม่ฉีดไม่ได้มีมากมายวุ่นวายเหมือนกับที่คุณแม่หลายท่านคิดกันหรอกนะคะ จะมีก็เพียงแค่...

          วัคซีนป้องกันบาดทะยัก

          บาดทะยักเป็นโรคที่เกิดจากการมีบาดแผลซึ่งสกปรก และเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซึ่งทำให้ก่อโรคนี้ขึ้น และเมื่อเชื้อบาดทะยักแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายผ่านทางบาดแผล ผู้ที่เป็นบาดทะยักจะมีอาการชักเกร็ง หน้าเขียว มีอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต และเมื่อเป็นโรคนี้แล้วโอกาสรอด 50:50 ค่ะ

          สำหรับวัคซีนป้องกันบาดทะยัก แพทย์จะแนะนำให้ฉีดในหญิงตั้งครรภ์ และคนที่ไม่มีภูมิต่อโรคนี้ รวมถึงคนที่ไม่ได้รับการฉีดกระตุ้นภายในระยะเวลา 10 ปีขึ้นไปด้วย

          โดยระหว่างตั้งครรภ์จะฉีด 2 เข็ม ห่างกันประมาณ 1 เดือน โดยเข็มที่ 2 ถ้าเป็นไปได้ให้ฉีดก่อนคลอดประมาณ 3 เดือน จากนั้นพอหลังคลอดจึงฉีดเข็มที่ 3 อีกครั้งค่ะ

          ท้องแล้วไม่ได้ฉีด!!

          สมัยก่อนจะแนะนำให้ฉีดวัคซีนชนิดนี้กันมาก เนื่องจากการทำคลอดนั้นอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือยังไม่มีความสะอาดเท่าที่ควรไม่เหมือนในปัจจุบันที่ทุกอย่างค่อนข้างมีความปลอดภัย สะอาด และปลอดเชื้อ หากคุณแม่มีภูมิอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องฉีด หรือถ้าหากพบว่าไม่มีภูมิก็สามารถฉีดได้ เลยไม่เป็นอันตรายกับทารกแน่นอน

          วัคซีนพื้นฐานที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ช่วยเสริมสร้างให้คุณแม่แข็งแรง คุณลูกปลอดภัย แต่ถ้าลืมฉีดตัวใดตัวหนึ่งไปก็อย่ากังวลให้มากค่ะ เพราะหากดูแลสุขภาพดี ป้องกันตัวเองไม่ให้ตกอยู่ในความเสี่ยงทั้งจากไข้หวัด ตับอักเสบ หรือบาดทะยัก ก็เบาใจได้ว่าลูกต้องมีสุขภาพดีแน่นอน หรือถ้ายังไม่หายกังวลก็สามารถขอคำแนะนำจากแพทย์ที่ฝากครรภ์ด้วยก็ได้ค่ะ


ข้อมูลจาก http://women.kapook.com/view6220.html



                นอกจากโฟเลตหรือ folic acid และการฉีดวัคซีนที่ได้คำแนะนำไปแล้ว ว่าที่คุณแม่ที่คิดจะตั้งครรภ์อย่างมีประสิทธิภาฑ วันนี้แม่กุ๊กก็แอบไปหาบทความดี ๆ มาให้อ่านเพิ่มเติมนะจ๊ะ

                กิจกรรมเหล่านี้ควรงดน๊าา 
ดัดผม - ยืดผม >>>> ทำสี ทำไฮไลท์ ต่างๆ แนะนำให้ทำสวยไว้ก่อนท้อง เพราะช่วงท้องโดยเฉพาะ 3 เดือนแรก กับ ช่วงให้นมลูก สารเคมีมีโอกาสซึมผ่านหนังศรีษะไปสู่ลูกได้ หนังสือบางเล่มก็ว่ายังไม่มีผลวิจัยออกมาชัดเจน แต่ถ้าเลี่ยงได้แนะนำให้เลี่ยงไปก่อน เพื่อลูกๆๆๆ เพราะช่วงท้องฮอร์โมนจะเปลี่ยน บางคนก็ผมฟูไร้น้ำหนัก บางคนก็ผมมัน บางคนก็ผมดกดำเงางาม แล้วแต่กายวิภาคของแต่ละคน
ของแม่แอนอยากจะตัดผมสั้น แต่ผมก็ฟูไม่มีน้ำหนักอ่ะ อยากยืดแต่ก็ไม่กล้าเสี่ยงกับสารเคมี เลยต้อง อาศัยไปไดร์ที่ร้าน และ อบไอน้ำเป็นบางครั้ง เท่านั้นเอง ทรงผมก็ปล่อยบ้าง รวบบ้าง ตามสะดวก


ออกกำลังกาย >>>> อันนี้ไม่ห้าม แต่อย่ารุนแรง หักโหมมาก ใครที่ออกกำลังอยู่แล้ว ถ้าป๊องป่องขึ้นมาก็ยังออกได้ต่อเนื่องอยู่ แต่ให้ลดการออกกำลังที่ต้องใช้แรงมาก เปลี่ยนเป็นออกกำลังเบาๆ ยืดเส้นยืดสาย ออกกำลังในน้ำ มีข้อมูลบอกไว้ว่าผู้หญิงที่ออกกำลังต่อเนื่องจะช่วยลดอาการแพ้ ท้องในยามตั้งครรภ์ช่วงแรกด้วย


อาหาร >>>> เพื่อนๆ ที่กำลังปล่อยให้มีลูก อย่าลืมลดชา กาแฟ อาหารรสจัด อาหารหมักดอง ทั้งหลาย เพราะบางทีเกิดท้องขึ้นมาแล้วแต่ยังไม่รู้ตัวยังทานเป็นปกติอยู ่ อาหารที่ว่าอาจจะส่งผลถึงตัวอ่อนน้อยๆ ได้


เทสต์ตั้งครรภ์ >>>> ถ้าเพื่อนๆ มีลุ้น ประจำเดือนขาด มีอาการสงสัยว่าน่าจะท้อง ให้ลองเทสต์ตั้งครรภ์ดูก่อนก็ได้ ยิ่งรู้ผลเร็ว ยิ่งไปฝากท้องกับคุณหมอเร็วได้ยิ่งดี (แต่ก็ตามสะดวกด้วยนะ) เพราะหมอจะได้แนะนำวิธีปฎิบัติตัว ให้ยาบำรุง มาตั้งแต่แรกเริ่มตั้งครรภ์ เพื่อครรภ์คุณภาพ


บันทึกปจด. >>>> อันนี้แอนทำอยู่ช่วงหวังผล ให้จดบันทึก หรือ กาไว้ในปฎิทินเลยว่า แต่ละเดือน ปจด. มาวันใหน มากี่วัน เพราะถ้าท้อง หมอต้องถามเรื่องปจด.ด้วย ว่ามาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ถ้าเราจำได้แม่น หมอก็คำนวณอายุครรภ์และกำหนดคลอดให้เราได้ง่าย


ยกของหนัก >>>> ระมัดระวังให้มาก ยิ่งช่วงปฎิสนธิใหม่ๆ ตัวอ่อนยังไม่ฝังในมดลูกดี โอกาสหลุดก็มีอยู่มาก เรื่องยกของหนักให้ระมัดระวังไปจนตลอดช่วงตั้งครรภ์
ให้เพื่อนๆ ลองดูหล่ะกัน เพราะบางคนอาจจะบอกว่า แล้วจะรู้ได้ไงว่าตั้งครรภ์เมื่อไหร่ บางอย่างชอบอยากทำนี่ จะให้งดทันที หรือ งดๆๆ มานานแล้ว ไม่เห็นจะท้องเลย อันนี้ขอบอกว่า ให้เพื่อนๆ ที่กำลังปล่อยให้มีลูก หรืออยู่ในระยะหวังผล เน้นๆๆ ช่วงไข่ตก ให้เตรียมตัวเป็นพิเศษนิดนึงนะ
ส่วนคุณแม่ที่ตั้งท้องอ่อนๆ อันนี้เผื่อไปตามอ่านในห้องคุณแม่ไม่ทัน เอาแต่ที่จำๆ ได้ มาแปะๆ ไว้ก่อนแล้วจะเพิ่มให้อีกเรื่อยๆ เน้อ


นวด - สปา >>>> พวกนี้ทำได้ช่วยผ่อนคลาย แต่ถ้าเป็นนวดกดจุดนี่ห้ามเน้อ ต้องคอยบอกหมอนวดให้ระวังด้วย


รองเท้า >>>> อย่าลืมเปลี่ยนเป็นรองเท้าส้นเตี้ย ดูพื้นรองเท้าอย่าให้เรียบมาก จะทำให้ลื่นได้ง่าย หาที่มีดอกยางหน่อยนะ หลีกเลี่ยงรองเท้าส้นสูง


ห้องน้ำ >>>> ห้องน้ำที่บ้านให้หาแผ่นกันลื่นมาแปะๆ ไว้ด้วย เวลาอาบน้ำถ้ามีที่นั่งแนะนำให้นั่งอาบจะปลอดภัยกว่า


แช่อ่างอาบน้ำ >>>> หรือ พวกอบซาวน่า ช่วงตั้งครรภ์ 3 เดือนแรกๆ ห้ามๆๆ เพราะความร้อนอาจจะไปทำลายเซลล์ตัวอ่อนที่กำลังพัฒนา


ชักโครก >>>> ดีกว่า ส้วมที่ต้องนั่งยองๆ หมอบอกว่าท่านั่งยองๆ เป็นท่าที่ทำให้ท้องเกิดความดัน อาจทำให้คลอดก่อนกำหนดได้ เวลาเข้าปั๊มน้ำมัน หรือ ห้องน้ำห้าง ก็เลือกห้องที่เป็นชักโครกดีกว่า


xxx ทิ้งทวน >>>> อันนี้ทฤษฎีแม่แอนเอง 55555 ช่วงท้องแม่บางคนก็อดอยากปากแห้ง ว่าที่คุณพ่อก็นั่งคอตกเป็นไก่เหงา แนะนำว่าช่วงปั๊มลูกนี่อ่ะโอกาสทอง ใหนๆ ก็นับวันไข่ตก วันไข่ตั้งกันแล้ว ก็ลองให้มันทุกท่าเลย เดี๋ยวตอนท้องจะอด จริงๆ หมอแนะนำให้มีได้ แล้วยิ่งช่วงท้องแม่ๆ มีน้ำมีนวล อาจจะช่วยเรื่อง xxx ให้ดีกว่าตอนปกติก็มี แต่ก็มีบางรายที่หมอสั่งงดห้ามมี แต่เราว่าส่วนใหญ่จะงด หรือ ไม่ถึงขนาดงด ก็ไม่บ่อยอ่ะ นานๆ ที เหมือนถูกหวย 

ขอบคุณข้อมูลดีดีจากhttp://www.ladysquare.com/forum_posts.asp?TID=8397   

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Share

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More