วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554

จะรู้ได้ไงว่าไกล้คลอด (อาการเตือนก่อนคลอด)

          ประสบการณ์ใกล้คลอดท้องแรกค่อนข้างจะวุ่นวาย เพราะเจ้าพี่มัทเทีย หมอกำหนดคลอดประมาณสิ้นเดือนมิถุนายน แต่พอ 7 มิถุนายน 2010 แม่กุ๊กก็มีอาการเจ็บท้องคลอด รอ ร๊อ รอ จนเจ็บทุก 5 นาที ก็ไปโรงพยาบาล หมอก็เอาที่คาดมาวัดระดับการเจ็บถี่ ปากมดลูกเริ่มเปิดแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อย นอน รพ เตรียมคลอดทันที (ว๊าว ๆ ถึงจะก่อนกำหนด แต่เราจะได้เห็นกันแล้วนะเจ้าลูกชาย)  จากนั้นก็นอนคาดเจ้าเครื่องวัดการบีบรัดมดลูกรอ ปากมดลูกเปิดครบ 10 ซม แล้วจะได้เข้าห้องคลอด จำได้ว่าเข้า รพ ตอน 23.00 วันที่ 7 มิย อยู่จนวันที่ 9 มิย ปากมดลูกเพิ่งเปิดได้ 3 ซม อาการที่เคยเจ็บถี่ก็หายไปซะเฉย ๆ หลังจากให้แม่กุ๊กทรมานมากว่า 2 วัน เพราะไม่ใช่เจ็บท้องที่ทรมาน แต่ปวดหลังนี่สุดยอด หมอบอกว่าเพราะกระดูกเชิงกรานกำลังเตรียมพร้อม โอว แม่เจ้า ทุกคอร์สที่แม่กุ๊กไปเรียนมาทั้งฟรีและเสียตัง (โยคะคุณแม่ตั้งครรภ์,คอร์สเตรียมคลอด) ช่วยอารายช๊ายไม่ได้เล๊ยยย  มันลืมหมดเลย T_T  แล้วในระหว่างวันเห็นคนอื่นเค้ามาแป๊บเดียวคลอดแล้ว เห็นเด็กมากมาย คิดน้อยใจว่าทำไมไม่คลอดซะทีน๊า จนวันที่ 9 มิย อาการเจ็บทั้งปวงก็หายไปหมด แต่เจ้ามัทเทียก็ยังดุ๊กดิ๊กอยู่ในท้องแม่ ถึงตอนนี้ร้องไห้หนักกว่าตอนเจ็บท้องกับปวดหลังอีก มันเหมือนเราหวังไว้ว่าจะได้กลับบ้านกับลูก และแล้วคุณหมอเลยบอกให้กลับบ้าน จากวันที่เก้า เราก็รอ รี๊อ รอ ไม่มีอาการอะไรอีกเลย จนตีสามวันที่ 29 มิย ปวดท้องคลอด เจ็บถี่ทันทีทุก 5 นาทีก็ยังไม่ไป รพ กลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอย  กว่าจะตัดสินใจไป ก็ ตีสี่ พอถึง รพ เจ็บทุกสองนาทีแล้ว เดินไปแผนกต้อนรับยังจะไม่ไหวเลย เดินสองก้าว หยุด อยู่อย่างนั้น รู้สึกว่ามันไกลแสนไกล พอ 7 โมงเช้า ปากมดลูกก็เปิด 10 ซม คราวนี้ล่ะคลอดแน่ 555 หมอก็เจาะน้ำคร่ำ ที่ห้องตรวจเลย แต่จากห้องตรวจไปห้องคลอดต้องเดินอีกประมาณ 1 1 กิโล หมอบอกว่าเดินเถอะนะ จะได้แรงโน้มถ่วงโลกช่วย เดี๋ยวจะได้เบ่งง่าย ๆ คอยดู ค่ะหมอ รับคำอย่างมีความหวัง ปรากฏว่าแต่ละก้าวช่างทรมาน กว่าจะถึงห้องคลอด แล้วหมอที่นี่ก็ใจเด็ด ไม่ช่วยเล้ย พยายามให้ทำเอง เข้าใจในความปรารถนาดี แต่มันดูไม่มีน้ำใจ ที่เดินนำเราไป แล้วหันกลับมาท้าวสะเอวมองเป็นระยะ ๆ ว่า หล่อน แค่นี้ทำไมเดินช้านักยะ (ถ้าถามมาละก็ แม่จะสวนให้ 555 คนมันกำลังเครียด) พอถึงห้องคลอด ก็เริ่มเบ่ง เราบอกว่ายังไม่มีลมเบ่งและไม่รู้สึกอยากเบ่ง เค้าก็พยายามให้เราเบ่งอยู่นั่นแหละ พอเบ่งมั่ว ๆ ก็ดุเอาอีก ก็คนบอกว่ายังไม่อยากเบ่ง เหมือนเราไม่ปวดอึ จะมาแกล้งปวดอึมันไม่ด๊ายย คุณหมอ จากนั้นก็เริ่มความกดดันเพื่อให้เราอยากเบ่งขึ้นเรื่อย ๆ จำได้ นังคุณพยาบาลคนหนึ่งตะโกนใส่หูมาว่า ไอ้ที่จะออกมาน่ะ มันหัวเด็กนะ ไม่ใช่เม็ดถั่ว เบ่งแค่นี้ เม็ดถั่วมันยังไม่ออกให้เลย โอ๊ย ได้ยินแล้วแค้น ไซโคซะอยากเบ่งเลย ตอนนั้นปวดขามาก ลืมเล่าไปว่าสองวันก่อนเจ็บท้องคลอดนี่ปวดขาแทบเดินไม่ได้เลย วางบนขาหยั่งก็ไม่ได้ ปวด พยาบาลก็ยึดขาเราไว้  จนในที่สุดเราก็รู้สึกว่าอยากเบ่ง ก็เริ่ิมเบ่ง มีลมเบ่งช่วยแล้วเล่งอยู่ สาม สี่ที เวลา 8.09 ก็คลอดค่ะ เจอเจ้ามัทเทีย น่าร๊ากกมากก มาแต่เกิด พอลูกคลอด ความเจ็บทั้งมวลก็หายไป เหมือนไม่ได้เกิดอะไรขึ้น จิง ๆ นะ มีแต่ความสุขเข้ามาแทนที่ ตอนเจ็บท้องแอบคิดว่า เราจะรักลูกได้ยังไงทำให้เราเจ็บขนาดนี้ จะเอาชีวิตไม่รอด แต่พอเห็นหน้าก็รู้ว่า แม่นี่เหมือนปลาแซลมอน พอมีลูกก็ตาย ปลาแซลม่อนน่ะมันตายจริง แต่เเม่คนน่ะ เหมือนไม่มีอะไรเป็นของตัวเองอีกแล้ว ยกทั้งชีวิตให้ลูกหมดเลย   เล่ามาซะยาว ทำให้คนหวั่นไหว กลัวการคลอดเองไปบ้างรึป่าวนีา อย่ากลัวเลยค่ะ แต่ละคนไม่เหมือนกัน นี่แค่ ประสบการณ์ลูกคนแรกนะ เเวะไปหาสาระกันก่อน เดี๋ยวมาเล่าคนที่สองให้ฟังจนท้ายบทความนะจ๊ะ



 

อาการคนท้องใกล้คลอด และ สัญญาณเตือนใกล้คลอด


อาการคนท้องใกล้คลอดหรือสัญญาณเตือนใกล้คลอดนั้นจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ระยะด้วยกันค่ะ ที่ อาการคนท้องใกล้คลอด ถูกแบ่งออกเป็น 3 ระยะนี้จะช่วยให้คุณแม่เข้าใจถึง สัญญาณเตือนใกล้คลอด ที่มาเป็นระยะ ๆ เพราะอันที่จริงแล้วยังคงมีการเข้าใจผิวที่ว่า อาการคนท้องใกล้คลอด นั้นจะมาในครั้งเดียวอย่างต่อเนื่องแต่อันที่จริงนั้นอาการคนท้องใกล้คลอดจะมาเป็นระยะต่างหากค่ะ วันนี้เราจึงนำข้อมูลอาการคนท้องใกล้คลอดและสัญญาณเตือนใกล้คลอดมาเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยให้เรื่องคลอดของคุณแม่เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นและเข้าใจมากยิ่งขึ้นอีกด้วยค่ะ



อาการคนท้องใกล้คลอด และ สัญญาณเตือนใกล้คลอด แบ่งออกเป็น 3 ระยะ


การเจ็บท้องคลอดเป็นกระบวนการของร่างกาย โดยมดลูกจะเริ่มหดรัดตัวและปากมดลูกของคุณแม่จะเปิดขยายเพื่อให้ทารกสามารถเคลื่อนผ่านออกมาสู่โลกภายนอก ระยะที่ 1 จะประกอบด้วยระยะย่อย ๆ คือระยะเริ่มต้น ระยะเร่ง และระยะเปลี่ยนผ่าน ในแต่ละระยะนี้ปากมดลูกของคุณแม่จะเริ่มบางตัวและเปิดกว้างออกจนถึง 10 เซนติเมตร เพื่อเตรียมคลอด ส่วนระยะที่ 2 ของการคลอดเป็นระยะเบ่งคลอดที่คุณแม่จะเบ่งคลอดลูกน้อยออกมา และระยะที่ 3 จะเป็นระยะคลอดทารก



ระยะที่ 1


การคลอดระยะที่ 1 อาจใช้เวลานานหลายชั่วโมงหรือในบางกรณีอาจยาวนานเป็นวัน ๆ ดังนั้น คุณแม่จึงไม่ควรตกใจเมื่อเริ่มเจ็บท้องในช่วงเริ่มต้น

- ความรู้สึกในช่วงต้นของการเจ็บท้องคลอด


สำหรับคุณแม่หลายท่านอาการแรกสุดของการเจ็บท้องคลอดก็คือ ความรู้สึกปวดหน่วง ๆ คล้ายกับการปวดท้องเวลามีประจำเดือน นอกจากนี้คุณแม่อาจมีอาการท้องผูก ท้องเฟ้อ หรือรู้สึกปวดท้องหรือปวดหลังร่วมด้วย คุณแม่บางท่านอาจท้องเสียรู้สึกไม่สบายหรือคลื่นไส้อาเจียน ทั้งนี้เพราะในระยะเริ่มต้นของการเจ็บท้องคลอดระบบการย่อยอาหารของคุณแม่จะทำงานช้าลง ดังนั้น คุณแม่ควรรับประทานอาหารเบา ๆ แทน เช่น ซุป ซีเรียล หรือขนมปังปิ้ง และดื่มน้ำมาก ๆ ในตอนแรกคุณแม่อาจจะไม่ทราบว่าความรู้สึกไม่สบายตัวนี้เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการเริ่มเจ็บท้องคลอด แต่เมื่ออาการเหล่านี้ค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นอาการปวดรุนแรงเป็นระยะ ๆ อย่างสม่ำเสมอหรือที่เรียกว่า การหดรัดตัวของมดลูก คุณแม่ก็จะทราบว่า กำลังเข้าสู่ช่วงของการเจ็บท้องคลอดแล้ว


- มีมูกขาวข้นออกทางช่องคลอด


ในช่วงที่คุณแม่อุ้มท้องอยู่นั้นที่บริเวณคอมดลูกจะมีมูกอุดกั้นอยู่ในระยะเริ่มต้นของการคลอดหรือก่อนหน้านั้น มูกหรือมูกปนเลือดจะหลุดออกมาเปรอะกางเกงชั้นในหรือในขณะที่คุณเข้าห้องน้ำหรือเรียกกันว่ามีมูกเลือดออกจากทางช่องคลอด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า คุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคนจะต้องมีมูกเลือดออกมาทางช่องคลอดในระยะเริ่มต้นของการคลอดเสมอไป ดังนั้น อย่ากังวลใจถ้าคุณแม่ไม่มีมูกออกมาทางช่องคลอดบางครั้งมูกอาจออกมาในระยะอื่นของการเจ็บท้องคลอดก็ได้


- น้ำเดิน


" น้ำเดิน " ที่พูดถึงนี้ที่จริงแล้วก็คือน้ำคร่ำซึ่งคอยรองรับลูกน้อยในช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์ เมื่อร่างกายคุณพร้อมจะคลอดลูกแล้วถุงน้ำคร่ำจะแตกออกและน้ำคร่ำก็จะไหลออกมาจากช่องคลอด คุณแม่บางท่านบอกว่าได้ยินเสียง "โพละ" เบา ๆ  ด้วยซ้ำเมื่อถุงน้ำคร่ำแตก และคุณแม่บางท่านอาจจะมีน้ำไหลออกมาเพียงเล็กน้อยแต่บางท่านก็ไหลออกมามาก หากคุณแม่มีน้ำคร่ำเดินตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการเจ็บท้องคลอดคุณแม่อาจมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องรักษาความสะอาดบริเวณปากช่องคลอด คุณแม่จึงไม่ควรใส่ผ้าอนามัยแบบสอดหรือมีเพศสัมพันธ์หรือลงแช่น้ำอุ่น
หากน้ำคร่ำเดินแล้วคุณแม่ควรติดต่อสูติแพทย์ที่ดูแลโดยทันทีเพื่อตรวจเช็คว่าถึงเวลาใกล้คลอดแล้วหรือยัง


- การเจ็บท้องคลอด


การเจ็บท้องคลอดเกิดจากการหดรัดตัวและผ่อนคลายเป็นจังหวะ ๆ ของกล้ามเนื้อบริเวณท้องและหลังของคุณแม่ และคุณแม่จะรู้สึกเจ็บมากกว่าอาการท้องแข็งในช่วงตั้งครรภ์ หากคุณแม่เข้าสู่ระยะเจ็บท้องคลอดแล้วคุณแม่จะรู้สึกว่ามดลูกหดรัดตัวรุนแรงขึ้นท นานขึ้น และถี่ขึ้นเรื่อย ๆ โดยปกติแล้วในช่วงเริ่มต้นมดลูกจะหดรัดตัวทุก ๆ 10 นาที โดยแต่ละครั้งกินเวลานาน 40 วินาที เมื่อถึงเวลาใกล้คลอดแล้วมดลูกก็จะหดรัดตัวทุก ๆ 30 วินาที และแต่ละครั้งกินเวลานานกว่า 1 นาที อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้เป็นเพียงค่าเฉลี่ยเพราะคุณแม่แต่ละท่านอาจมีระยะเวลาการบีบรัดตัวของมดลูกแตกต่างกันไป (โดยปกติแล้วคุณหมอจะแนะนำให้ไป ร พ เมื่อมีการบีบรัดตัวของมดลูกทุก 10 นาที แต่ก็ขึ้นอยู่กับระยะทางจากบ้านไป รพ ด้วยนะคะ)


- การทำให้การคลอดระยะที่หนึ่งผ่านไปได้ด้วยดี

หากคุณแม่ทราบก่อนว่าจะเกิดอะไรขึ้นในเวลาไหนบ้าง อาจจะช่วยให้คุณผ่อนคลายมากขึ้นและรู้สึกว่าควบคุมสถานการณ์ต่างๆได้ ดังนั้น ลองดูคำแนะนำเหล่านี้ที่จะช่วยให้คุณแม่วางแผนล่วงหน้าได้

ค้นหาข้อมูลและคำแนะนำ

• ถ้าเป็นไปได้ คุณแม่ควรเข้ารับการอบรมสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ เพราะการอบรมนี้จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เพื่อ ช่วยในการเตรียมตัว รวมทั้งยังเป็นแหล่งให้ความช่วยเหลืออีกแหล่งหนึ่งด้วย เพราะฉะนั้น ควรเข้ารับการอบรมประเภทนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลบางแห่งอาจไม่ได้จัดการอบรมสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ คุณแม่จึงควรสอบถามสูติแพทย์ผู้ดูแลครรภ์หรือสอบถามทางโรงพยาบาลเกี่ยวกับเรื่องนี้

• มีหนังสือและวิดีโอจำนวนมากที่ให้ความรู้และคำแนะนำที่สามารถช่วยให้คุณแม่ผ่านช่วงเวลาการเจ็บท้องคลอดและการคลอดไปได้ด้วยดี และหากคุณแม่ได้เข้ารับการอบรมสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ คุณแม่อาจขอให้วิทยากรช่วยแนะนำหนังสือหรือวิดีโอที่ดีๆ ก็ได้

• นอกจากนี้ คุณหมอที่ดูแลคุณแม่ก็สามารถให้คำปรึกษาและให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ ทั้งยังยินดีตอบคำถามคุณแม่เกี่ยวกับการเจ็บท้องคลอดและการคลอดอีกด้วย


ทำใจให้สบาย

• การผ่อนคลายทั้งทางร่างกายและจิตใจจะช่วยให้คุณแม่เข้าสู่ท่วงทำนองของการคลอดได้อย่างกลมกลืน

• ความรู้สึกผ่อนคลายจะทำให้กล้ามเนื้อของคุณแม่ยืดหยุ่นและรับมือกับความเจ็บปวดในช่วงเจ็บท้องคลอดได้ดีกว่า ในขณะที่ถ้าคุณแม่เครียดและกดดัน กล้ามเนื้อจะยิ่งเกร็ง

• เมื่อคุณแม่รู้สึกผ่อนคลาย คุณแม่จะสามารถหายใจเข้า-ออกลึกๆ และทำให้ลูกน้อยผ่อนคลายไปด้วยเพราะได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่


สังเกตและดูแลร่างกายของคุณ

• แรงโน้มถ่วงของโลกจะช่วยเสริมแรงคุณแม่ในการเบ่งคลอดทารกออกมา ดังนั้น หากเป็นไปได้ ท่าที่เหมาะสมในการเบ่งคลอดก็คือท่าในแนวตั้ง ซึ่ง ไม่จำเป็นต้องเป็นท่ายืนเสมอไป อาจเป็นการนั่งยองๆ นั่งคุกเข่า หรือนั่งแล้วโน้มตัวลงบนลูกบอลขนาดใหญ่ก็ได้ ที่สำคัญ คุณแม่ควรพยายามเคลื่อนไหวอยู่เสมอ

• อันที่จริงแล้ว ไม่มีท่าคลอดท่าไหนที่ถือว่าเหมาะสมที่สุดสำหรับทุกคน คุณแม่จะเลือกทำท่าไหนก็ได้ที่รู้สึกว่าดีที่สุดสำหรับตัวคุณแม่เอง บางครั้ง อาจจะลองย้ายสะโพกไปมาหรือเดินขึ้นลงบันไดเตี้ยๆ หรือ อาจจะทำท่าคุกเข่าและใช้สองมือยันพื้นไว้ หรือจะนั่งคุกเข่าและโน้มตัวลงบนตั้งหมอนสูงๆ ก็ได้

• การร้องครวญครางหรือส่งเสียงออกมาอาจช่วยให้คุณแม่ผ่อนคลายมากขึ้นในช่วงเจ็บท้องคลอด ดังนั้น คุณแม่ไม่จำเป็นต้องเก็บกดเอาไว้ อย่าเขินอายไปเลย ลองนึกถึงนักเทนนิสเก่งๆ

• เข้าไว้ พวกเขาไม่เคยกลัวที่จะปลดปล่อยความเครียดไปกับเสียงตะโกนดังๆ หรือเสียงร้องไห้คร่ำครวญทั้งๆ ที่อยู่ต่อหน้าผู้ชมนับล้านๆ

หาวิธีที่จะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น

• มีวิธีการลดความเจ็บปวดได้มากมายหลายวิธี ซึ่งไม่จำเป็นต้องพึ่งยาเสมอไป คุณแม่อาจผ่อนคลายความปวดด้วยการแช่น้ำอุ่นหรืออาบน้ำอุ่นจากฝักบัว เพราะ น้ำอุ่นๆ จะช่วยคลายกล้ามเนื้อที่ปวดเมื่อยลง

• หากต้องการคลายเครียด คุณแม่อาจลงแช่ในสระน้ำอุ่นและลอยตัวในน้ำอย่างผ่อนคลาย

• สัมผัสอันอ่อนโยนก็ช่วยลดความปวดได้อย่างวิเศษ คุณแม่อาจขอให้เพื่อนในขณะคลอดช่วยโอบกอดไว้หรือลูบหลังหรือแขนในช่วงมดลูกบีบรัดตัว หากคุณแม่รู้สึกปวดหลังส่วนล่าง อาจขอให้เขาหรือเธอช่วยนวดเบาๆ ก็ได้

ขอความช่วยเหลือจากคนอื่น

• มีข้อมูลที่พิสูจน์ได้ว่า คุณแม่ที่มีเพื่อนในขณะคลอดคอยให้กำลังใจ มักจะไม่จำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวดหรือการแทรกแซงในระหว่างการคลอด

• นอกจากนี้ คุณแม่สามารถขอความช่วยเหลือหรือบอกความต้องการกับคุณหมอหรือพยาบาลห้องคลอดได้ หากคุณแม่รู้สึกกังวลใจขณะเจ็บท้องคลอดหรือมีอะไรไม่แน่ใจ ขอให้สอบถามคุณหมอทันที อย่าลืมว่าคุณหมอและพยาบาลห้องคลอดมีหน้าที่ที่จะช่วยให้คุณแม่ผ่อนคลายและเกิดความมั่นใจเสมอ

 

ระยะที่ 2


ระยะที่ 2 ของการคลอดจะเริ่มขึ้นเมื่อปากมดลูกของคุณแม่เปิดกว้างออกถึง 10 เซนติเมตร และจะสิ้นสุดลงเมื่อทารกคลอดออกมา หากท้องนี้เป็นท้องแรก ระยะที่สองอาจใช้เวลาถึง 1 ชั่วโมงหรือนานกว่านั้น แต่หากไม่ใช่ท้องแรกก็จะใช้เวลาสั้นกว่านั้นมากบางครั้งเพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้น

การเบ่งคลอดโดยธรรมชาติแล้วร่างกายของคุณแม่จะบอกเองว่าเมื่อไหร่ควรเบ่งคลอด ซึ่งเวลานั้นคุณแม่จะมีความรู้สึกอยากเบ่งจนสุดที่จะกลั้นไว้ได้ เมื่อหัวลูกโผล่พ้นออกมาทางช่องคลอดคุณหมออาจขอให้คุณแม่หยุดเบ่งก่อนและกลั้นลมเบ่งไว้ด้วยการหายใจสั้น ๆ ตื้น ๆ คล้ายคนหอบ ระยะเจ็บเบ่งนี้เป็นระยะที่มีความละเอียดอ่อนและต้องอาศัยความอ่อนโยนพอสมควรเพื่อไม่ให้ปากช่องคลอดฉีกขาดมากเกินไป จากนั้นเมื่อกล้ามเนื้อขยายออกและมดลูกหดรัดตัวรอบใหม่คุณแม่จึงค่อยออกแรงเบ่งอีกครั้ง และในที่สุดทารกก็จะคลอดออกมาคุณหมอจะสำรวจทารก ตัดสายสะดือ และห่อหุ้มลูกน้อยด้วยผ้านุ่ม ๆ ก่อนจะส่งให้คุณแม่อุ้ม "ยินดีด้วยนะคะลูกของคุณแม่คลอดออกมาอย่างปลอดภัยแล้ว"


ระยะที่ 3


ฟังดูอาจเป็นเรื่องแปลกที่การคลอดยังไม่สิ้นสุดลง หลังจากที่ทารกคลอดออกมาแล้วนั่นก็เพราะคุณแม่ยังต้องรอคลอดรกก่อน แต่ไม่ต้องกังวลใจไป สูติแพทย์หรือพยาบาลผดุงครรภ์จะอยู่กับคุณแม่เพื่อดูแลการคลอดระยะที่ 3 นี้ จนสิ้นสุดการคลอดทารกคุณหมออาจเสนอการฉีดยาเพื่อช่วยเร่งการคลอดทารกให้เร็วขึ้น ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นการคลอดระยะที่ 3 นี้จะใช้เวลาประมาณ 5-15 นาที แต่หากคุณแม่ต้องการจะคลอดทารกเองตามธรรมชาติก็อาจใช้เวลานานกว่านั้นซึ่งอาจนานถึง 1 ชั่วโมง คุณแม่จะรู้สึกว่ามดลูกเริ่มต้นบีบรัดตัวใหม่ แต่จะไม่รุนแรงเท่ากับระยะที่ 2 จากนั้นทารกที่หลุดลอกแล้วก็จะดันผ่านปากมดลูกที่เปิดกว้างอยู่ออกมาทางช่องคลอด เมื่อทารกคลอดออกมาหมดแล้วคุณหมอจะนำทารกไปตรวจเพื่อให้แน่ใจว่ารกลอกตัวออกหมดแล้ว และจะกดบริเวณหน้าท้องของคุณแม่เพื่อให้แน่ใจว่ามดลูกเริ่มหดรัดตัวลงแล้ว


การให้ลูกดูดนมแม่ทันทีหลังคลอด หากคุณแม่ได้โอบกอดลูกน้อยแบบเนื้อแนบเนื้อทันทีหลังคลอด คุณหมอจะแนะนำให้คุณแม่ให้ลูกดูดนมแม่ได้เลยทันทีเพราะจะช่วยสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแม่กับลูก
ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก 
http://www.n3k.in.th และ ดูเม็กซ์ ค่ะ
     

         ทีนี้เรามาเข้าสู่ประสบการณ์เจ็บท้องคลอดท้องที่สองกันนะคะ   ตอนท้องสองก็มีกำหนดคลอดเหมือนเจ้าพี่มัทเทีย คือ สิ้นเดือนมิถุนายน พอวัน 8 มิถุนายน 2011 ตื่นเช้ามาก็รู้สึกอาเจียน และ ถ่ายท้อง ทั้งวัน คิดว่าคงเป็นไข้ลงลำใส้ ตามปกติ  18.00 ก็ไปหาหมอประจำตัว คุณหมอบอกว่า อันนี้ไม่ใช่ไข้หวัดลงลำไส้หรอก แต่เป็น อาการเตือนคลอดอย่างหนึ่ง ให้กลับไปพักผ่อนที่บ้าน รอการเจ็บถี่ อาจจะคลอดหรือไม่คลอดก็ได้ เป็นคล้าย ๆ อาการเจ็บเตือน  แต่เเม่กุ๊กไม่เจ็บท้องนะ  พอกลับมาจากหมอถึงบ้านตอนทุ่มนึง เริ่มเจ็บเตือนทุก 15 นาที พอ 3 ทุ่ม ทุก 5 นาที ก็ยังไม่ไป รพ ไม่อยากไป กลัวซ้ำรอยเดิม แม่สามีบอก ไปเถอะ ไปเสียเที่ยวก็ช่าง ดีกว่าคลอดเองอยู่ที่บ้าน ก็เลยไปอย่างอ้อยอิ่ง ถึง รพ ก็เหมือนเดิม คาดเข็มขัดวัดการบีบมดลูก โอเค ทุกอย่างเรียบร้อย พยาบาลบอกว่าอยู่ รพ เตรียมคลอดเลยนะคะ ในใจคิดคราวนี้คงคลอดนะ จากนั้นก็ค่อย ๆ เจ็บถี่ขึ้นเป็นทุกสองนาที แอบดีใจ ของจริง ๆ  แต่พอเจ็บทุกสองนาทีจากนั้น ก็อาเจียน ความเจ็บก็หายไปประมาณ ครึ่ง - 1 ชม ถึงจะเริ่มเจ็บใหม่ วนอยู่อย่างนี้ ไม่อาเจียนก็ถ่ายท้อง ทานอะไรไปก็ออกหมด ไม่มีแรง จนเที่ยงวันที่ 9 มิ ย หมอตัดสินใจให้น้ำเกลือเร่งคลอด จากนั้นการคลอดก็เป็นไปตามขั้นตอน ที่อยู่ในบทความข้างต้น แต่ปัญหามันอยู่ที่เเม่กุ๊กไม่ได้ทานอะไรเลยมาเกือบสองวัน ความเจ็บน่ะ มันก็รุนแรงพอรับไหวถ้ามีกำลัง แต่ไม่มีกำลังอย่างนี้ มันเหมือนคนนอนใกล้ตายที่สติจะหลุดลอยไป สามีก็คอยเรียกให้สู้ เดี่ยวจะได้เห็นหน้าลูก จนคุณหมอถามว่ารู้สึกอยากเบ่งรึยังคะ (อย่างน้อยรอบนี้ก็ได้เจอทีมทำคลอดที่ดีมาก ใจเย็นและอ่อนโยน ไม่ไซโคหนักเหมือนคราวที่แล้ว) เราก็บอกว่าอยากเบ่งแล้วแต่ ไม่มีแรง หมอก็เลยเอาน้ำตาลซองน้อย ๆ มาให้คุณสามีช่วยกรอกปากให้เรา แล้วก็ได้น้ำตาลซองน้ัน ที่ช่วยให้เบ่งลูกคนที่สองออกมาเวลา 15.48 น สวัสดีค่ะ น้องสาวคนสวย อารีอันนา ^____^





0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Share

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More